น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อสถานที่แห่งนี้  “อัมพวา”  กับเรื่องราวอันทรงเสน่ห์ไม่ว่าจะเป็นตลาดน้ำยามเย็นอันคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยประดาพ่อค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยว ร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ บรรยากาศริมสองฝั่งคลองอันสวยงาม เรือนแถวสมัยก่อนเก่า การล่องเรือชมหิ่งห้อยยามพลบค่ำเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำในคืนซึ่งน่าชุ่มชื่นหัวใจ สิ่งต่างๆทั้งหมดซึ่งกล่าวมาดังข้างต้นแล้วนี้นี่เองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศให้หลั่งไหลมา ณ ดินแดนริมลุ่มแม่น้ำแม่กลองแห่งนี้

บรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำคลองอัมพวา

ความสงบ ราบเรียบของวิถีชีวิตชุมชนริมคลองอัพวา

     คุณสามารถเริ่มต้นการท่องเที่ยวอัมพวาโดยการเดินชม เลือกจับจ่ายใช้สอยตามร้านค้าต่างๆหรือแวะชิมอาหารที่มีให้เลือกอย่างมากมายได้ตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณบ่ายสามโมงของวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ณ บริเวณส่วนของตลาดน้ำ (ที่ตลาดน้ำอัมพวาเป็นตลาดน้ำช่วงเย็นถึงค่ำต่างกับตลาดน้ำหลายๆแห่งที่มักจัดในตอนเช้า แต่ถึงแม้ตลาดน้ำอัมพวาจะจัดในตอนเย็น หากเราขอแนะนำให้คุณรีบเดินทางมาถึงตั้งแต่ประมาณบ่ายสองถึงบ่ายสองครึ่งจะดีกว่าเพราะหากมาถึงช้ามากเกินไปแล้วล่ะก็รถจะติดมากๆและหาที่จอดรถได้ยากสุดๆ ซึ่งอาจทำให้คุณหมดสนุกไปกว่าครึ่ง) ซึ่งสินค้าต่างๆนั้นก็มีตั้งแต่ของเล่นโลหะไขลาน ,ของเล่นกระดาษ ,ปลาทูแม่กลอง ,หอยเชลล์เผา ,ก๋วยเตี๋ยวเรือ ,น้ำหวาน ,ไอศกรีมและขนมโบราณต่างๆ ,ฯลฯ ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง หรือหากคุณไม่ชอบที่จะเดินเบียดเสียดยัดเยียดกับคนอื่นๆนัก คุณอาจเลือกที่จะเดินมาทางด้านสะพานเดินรถข้ามคลอง(ไม่ใช่สะพานลอยคนข้ามนะครับ แต่เป็นสะพานเดินรถข้ามคลอง ซึ่งมีอยู่ด้านเดียวเพราะอีกด้านเป็นปากคลองอัมพวาไม่มีทางเดินต่อไปได้อีก) เพื่อที่จะชมบรรยากาศของตึกแถวร้านรวงริมคลองและวิถีชีวิตของผู้คนริมสายน้ำซึ่งในบางครั้งคุณอาจจะได้พบกับ กลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นนั่งล้อมวงกันร้องเพลงข้างๆเรือนแถวไม้โบราณ ,เด็กๆสวมห่วงยางดำผุดดำว่ายหรือกระโดดน้ำเล่นอยู่ริมตลิ่ง ,เรือพายของชาวบ้านที่กำลังเดินทางมุ่งสู่ตลาดน้ำ ,ฯลฯ มีชีวิตชีวาและงดงามเกินกว่าจะสัมผัสได้จากเพียงแค่คำบรรยาย

ร้านรวงต่าง ๆ บริเวณสองฝั่งคลองของตลาดน้ำอัมพวา

นานาสินค้าน่าสนใจที่ตลาดน้ำอัมพวา

ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีให้เลือกมากมายหลากหลาย

     เมื่อคุณเริ่มเดินจนเมื่อยแล้วก็อาจจะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศได้โดยการไปนั่งเรือชมความงดงามของสถาปัตยกรรม ,สิ่งก่อสร้างหรือวัดวาอารามต่างๆริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองได้โดยซื้อตั๋วเรือทัวร์ราคา 50 บาทต่อคน ณ จุดขายที่ตรงตลาดน้ำนั่นเอง(เป็นทัวร์ล่องเรือช่วงกลางวันพาไปชมโบสถ์ปรกโพธิ์ค่ายบางกุ้ง ,วัดภุมรินกุฎีทอง ,ฯลฯ โดยเรือทัวร์จะมีให้เลือกหลากหลายเจ้าแต่ราคาตั๋วมาตรฐานเดียวกัน ข้อมูล ณ ก.ย. 2551)โดยเรือจะพาคุณไปชมสถานที่ต่างๆซึ่งระบุไว้ในโปรแกรมทัวร์หน้าร้านยามเย็นย่ำค่ำคล้อยแสงอาทิตย์เริ่มจางหายจากขอบฟ้าก็ได้เวลาอันเหมาะสมแก่การชมหิ่งห้อยซึ่งคุณสามารถซื้อตั๋วเรือทัวร์ชมหิ่งห้อยได้ ณ ที่เดียวกับที่ซื้อตั๋วทัวร์แม่น้ำช่วงกลางวันนั่นแหละ แต่อย่าคาดหวังมากจนเกินไปนักว่าจะได้เห็นหิ่งห้อยเกาะอยู่บนต้นลำพูเป็นแนวยาวเป็นกิโลๆเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่สมัยปี 2548 – 2549 เพราะปัจจุบัน(ปี 2551) ประชากรหิ่งห้อยได้ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ก็แค่เพียงแสงวิบวับๆเป็นหย่อมๆตามต้นลำพูริมแม่น้ำลำคลองบางต้นเท่านั้นซึ่งสาเหตุสำคัญของการลดจำนวนลงของประชากรหิ่งห้อยน่าจะมาจากการรบกวนของผู้คน ,เสียง ,แสงไฟ ,สารพิษและควันพิษต่างๆ ตลอดจนคลื่นกระแทกจากเรือหางยาวที่ซัดเข้าหาชายฝั่งซึ่งมีไข่และตัวอ่อนของหิ่งห้อยอยู่ ทำให้ตัวอ่อนและไข่เหล่านั้นถูกซัดลงสู่แม่น้ำโดยปราศจากการปกป้องอนุบาลจากกอหญ้าหรือต้นกกริมน้ำกลายเป็นอาหารปลาและจมน้ำตายไปจนเกือบหมด อ่านแล้วอาจจะเศร้าแต่มันก็เป็นความจริงหนึ่งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะไร้ซึ่งสามัญสำนึกในการอนุรักษ์ รวมถึงขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม แต่ที่แย่มากไปกว่านั้นก็คือ ผู้บริหารผู้มีอำนาจในการรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและท้องถิ่นต่างก็เพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านี้ เนื่องจากตนเองเข้าไปมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องไม่ทางตรงก็ทางอ้อมด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

เรือพ่อค้า แม่ค้า มาจำหน่ายอาหารที่ตลาดน้ำอัมพวาอย่างแน่นขนัดในช่วงเย็น

แหล่งสังคมชุมชนของชาวตลาดน้ำ

     ซึ่งถ้าคุณเป็นนักอนุรักษ์ตัวยงที่ไม่อยากมีส่วนในการร่วมสนับสนุนการทำลายประชากรหิ่งห้อยโดยการนั่งเรือหางยาวแล้วล่ะก็ยังมีทางเลือกในการล่องเรือพายชมหิ่งห้อยโดยสามารถสอบถามได้ที่ศูนย์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ณ วัดช่องลม ที่มีบริการล่องเรือพายชมหิ่งห้อยโดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญ 2 ท่านประจำฝีพายด้านหัวเรือและท้ายเรือทุกๆลำ สำหรับอัตราค่าบริการล่องเรือพายชมหิ่งห้อยนั้นก็อยู่ที่คนละ 100 บาท(อย่างน้อยต้องมีนักท่องเที่ยว 2 คนต่อเรือหนึ่งลำหรือมากกว่า เรือที่ให้บริการจะเป็นเรือพายลำใหญ่ค่อนข้างปลอดภัยไม่ใช่เรือลำเล็กแบบที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดน้ำอัมพวาพายมาขายของ แต่เรือไม่มีผ้าใบกันฝนจึงมีความเสี่ยงเวลาฝนตกสูงครับ) ช่วงเวลาแนะนำในการมาดูหิ่งห้อยคือในคืนข้างแรมเดือนมืดประมาณตั้งแต่เต้นดือน พ.ค. – ปลายเดือนต.ค. เวลาประมาณ 19.00 – 20.00 น.โดยเดือนที่มีปริมาณหิ่งห้อยมากที่สุดจะอยู่ประมาณ พ.ค. – ก.ค. ซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่าประชากรหิ่งห้อยจะไม่ลดจำนวนลงเรื่อยๆจนสูญหายไปจากอัมพวาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับบางลำพู

     หลังจากล่องเรือชมหิ่งห้อยจนพอใจแล้วหากคุณยังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่นักก็อาจลองกลับมาเดินเล่นแถวตลาดน้ำอัมพวาอีกครั้งเพื่อสัมผัสความงดงามที่แตกต่างในยามค่ำคืนซึ่งสวยงามไม่แพ้ช่วงเวลากลางวันเลยทีเดียว สุดท้ายทุกงานเลี้ยงย่อมมีเลิกรา ตลาดน้ำอัมพวาจะเริ่มวายในช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มและทีมงานของเราก็ขออำลาไปก่อนสำหรับการเดินทางครั้งนี้ครับ

     การเดินทาง ทางรถยนต์  ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ถึง กม.ที่ 63 เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม ผ่านตัวเมือง จากนั้นเข้าทางหลวง 325 สมุทรสงคราม-บางแพ กม.ที่ 36-37 มาทางแยกซ้ายเข้าไปทางที่จะไปอุทยานฯ ร.2 ตลาดน้ำจะอยู่ใกล้กับอุทยานฯ ร.2 หรือรถโดยสารประจำทาง นั่งรถโดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ - ราชบุรี - ดำเนินสะดวก มาลงที่ตลาดอัมพวา

ความงดงามที่ไม่เคยหลับใหลยามค่ำคืนที่คลองอัมพวา

แสงไฟยามค่ำคืน อีกหนึ่งบรรยากาศของตลาดน้ำอัมพวา