ทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
|
อ.บางปะอิน – อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา |
******* รับทันที *******
โปรโมชั่น “ทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยาไหว้พระอยุธยา” ราคาพิเศษ !
เฉพาะผู้ที่ติดต่อจองทัวร์และชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนล่วงหน้าตามเงื่อนไข
ผ่าน “Line ID” หรือ “หมายเลขโทรศัพท์” ในกรอบสีขาวท้ายบทความรีวิว
ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 2564 เท่านั้น ! |
.....สิ่งที่อยู่ใกล้.....หลายๆ ครั้งก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม ละเลย หลงลืม ราวกับเป็นสิ่งที่ไร้คุณค่า ด้วยเหตุจากความคุ้นชินซึ่งอาจเคยได้อ่าน เคยได้ยินเรื่องราวซ้ำๆ หรืออาจเคยได้พบเคยได้เห็นจนเจนหูเจนตา จึงทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งนั้นๆ รู้สึกว่า “นี่เป็นสิ่งธรรมดาๆ” แต่ถ้าหากเราได้ลองพิจารณาให้ลึกลงไปถึงเรื่องราวหรือร่องรอยของบางสิ่งบางอย่าง.....อย่างลึกซึ้ง ก็อาจทำให้กลับพบเห็นคุณค่าอันงดงามที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง “สิ่งธรรมดาๆ” เหล่านั้นได้อีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกับคุณค่าของซากปรักหักพังในเขตโบราณสถานแห่ง จ.พระนครศรีอยุธยา.....เมืองมรดกโลก
|
นี่คือ 1 ในบรรดาเรือสำราญที่ให้บริการ
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน
|
|
..........................บ้านเรือนริมสายน้ำกว้าง..........................
|
อยุธยา : เมืองมรดกโลก
“กรุงศรีอยุธยา” หรือที่ผู้คนในยุคปัจจุบันนิยมเรียกกันแบบย่นย่อว่า “อยุธยา” เป็นเมืองซึ่งเคยมีฐานะเป็นราชธานีของชนชาติไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ.1893 – พ.ศ.2310 เดิมทีเมืองแห่งนี้เคยเป็นนครท่าเรือชื่อ “อโยธยา” หรือ “อโยธยาศรีรามเทพนคร” (เป็นการนำชื่อเมืองของพระรามในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์มาใช้ครับ) ต่อมาภายหลังเมื่อนครแห่งนี้ได้รับการสถาปนาให้กลายเป็นราชธานีจึงมีการขนานนามใหม่ของเมืองว่า “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” แล้วนิยมเรียกกันในระยะต่อมาว่า “กรุงศรีอยุธยา” อันแปลว่า.....นครที่ไม่อาจทำลายได้
|
..............................Premium Thai Handcrafts..............................
in the SUPPORT Arts and Crafts International Centre of Thailand
(SACICT)
|
|
..โถงชั้นล่างของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา..
|
ตามจารึกอ้างอิงจากเอกสารทางประวัติศาสตร์.....ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า จุดกำเนิดของการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเริ่มต้นขึ้นจากความเสื่อมถอยในอำนาจของอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรขอม ต่อมาพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) จึงทรงสถาปนาเมืองหลวงแห่งใหม่ขึ้น ณ บริเวณตำบลหนองโสน (คือ บริเวณพื้นที่โดยรอบบึงพระราม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบันครับ) อันเป็นพื้นที่ราบลุ่มซึ่งมีแม่น้ำ 3 สายรายล้อม ได้แก่ แม่น้ำป่าสักทางทิศเหนือ แม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกและทิศใต้ แม่น้ำลพบุรีทางทิศตะวันออก อีกทั้งพระเจ้าอู่ทองยังทรงดำริให้ขุดคูคลองเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำทั้ง 3 สาย ส่งผลให้ที่ตั้งของราชธานีแห่งใหม่มีลักษณะเป็นเกาะเมืองซึ่งมีสายน้ำล้อมรอบเป็นปราการป้องกันข้าศึกศัตรู
|
..................................เจดีย์เก่าใน วัดพระศรีสรรเพชญ์..................................
|
|
.................................ซากปรักแห่งกาลก่อน.................................
|
นับจากสมัยรัชกาลพระเจ้าอู่ทอง.....กรุงศรีอยุธยาก็ได้มีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบทอดต่อๆ กันมาอีกทั้งหมด 32 พระองค์ (หากนับรวมพระเจ้าอู่ทองด้วย กรุงศรีอยุธยาก็จะมีพระมหากษัตริย์ปกครองทั้งหมด 33 พระองค์ครับ) รวมเป็นระยะเวลากว่า 417 ปี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่ 2 ให้แก่พม่าในสมัยรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์ (สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์) และถึงแม้ว่าในกาลต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) จะทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาให้แก่ปวงชนชาวไทยได้สำเร็จ แต่ความเสียหายของกรุงศรีอยุธยาจากการเผาทำลายโดยทหารพม่าก็ยังคงมีมากเกินกว่าที่จะฟื้นฟูเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพความเป็นราชธานีได้โดยง่าย.....พระองค์ (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) จึงโปรดฯ ให้ย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรีเป็นการทดแทน
|
.............................ประวัติศาสตร์เล่าว่า.............................
บางส่วนของความเสียหายเหล่านี้เกิดจากการเผาทำลายด้วยไฟสงคราม
|
|
...........พระพุทธรูปชำรุดภายใน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา...........
|
.....ปัจจุบัน.....จ.พระนครศรีอยุธยา ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ซึ่งมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย อีกทั้งยังมีกลุ่มสถาปัตยกรรมโบราณอันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าโดดเด่น จนแม้แต่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ก็ยังได้มีมติ ณ กรุงคาร์เธจ ประเทศตูนิเซีย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2534 ให้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานรวมถึงสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเขตพื้นที่ “อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” กว่า 1,810 ไร่ เอาไว้ในบัญชีมรดกโลกในนาม “นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา (The Historic City of Ayutthaya)”
|
.......วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็น 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญตามโปรแกรม ทัวร์อยุธยา.......
|
|
.......คุณค่าแห่งอดีตกาลที่แม้แต่ UNESCO ยังต้องขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก.......
|
สาเหตุที่ทำให้ UNESCO พิจารณาขึ้นทะเบียน “นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” เอาไว้ในบัญชีมรดกโลก ประกอบไปด้วยเหตุผลหลัก 4 ข้อ ได้แก่
1. อยุธยามีความเป็นเลิศในการเลือกสรรทำเลที่ตั้งเมืองในตำแหน่งอันเป็นแหล่งชุมนุมของแม่น้ำ มีการออกแบบผังเมืองอย่างซับซ้อนเหมาะสมกับชุมชนที่อาศัยการสัญจรทางน้ำเป็นหลักซึ่งเป็นธรรมชาติของการตั้งถิ่นฐานแบบไทยๆ ลักษณะดังกล่าวเอื้ออำนวยต่อการรักษาพระนคร ป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรู และช่วยให้สามารถจัดระบบสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะแก่สังคมเมือง จนสามารถพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองได้ในยามสงบสุข
|
จากลานจอดรถของ พระราชวังบางปะอิน หากลองเดินไปทางทิศตะวันตก
ก็จะพบกับกระเช้าข้ามคลองแบบนี้
|
|
.................................คลองนิเวศธรรมประวัติ.................................
|
2. อยุธยาเป็นต้นแบบในการก่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์.....โดยได้มีการถ่ายทอดความงดงาม ความรุ่งเรืองของอยุธยาสืบต่อมาไว้ในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นระเบียบผังเมือง การจัดวางอาคาร ลักษณะสถาปัตยกรรมของบ้านเรือน ชื่อของสถานที่ต่างๆ ตลอดจนรูปแบบวิถีชีวิต
3. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีความเป็นเอกลักษณ์ทั้งทางด้านกายภาพ ด้านประวัติศาสตร์ รวมไปถึงด้านอารยธรรม ซึ่งยากจะหานครโบราณใดๆ ในโลกเทียบเสมอได้เป็นไม่มี
|
...........................ทองอุไรเบื้องหน้าประกายของสายน้ำ...........................
|
|
............................ประภาคารใกล้ๆ กับ วัดนิเวศธรรมประวัติ.............................
|
4. อาคารโบราณสถานแต่ละแห่งภายในนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีการออกแบบสถาปัตยกรรมอันเป็นลักษณะเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสถาปัตยกรรมรูปแบบอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย สิ่งก่อสร้างมากมายหลายอย่าง อาทิเช่น เจดีย์ ปรางค์ และปราสาท มีความพิเศษที่ไม่สามารถพบเห็นได้จากสถานที่แห่งอื่นๆ ถึงแม้ว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้จะมีกำเนิดมาก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเรืองอำนาจ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องรวมถึงวิวัฒนาการทางด้านรูปแบบสถาปัตยกรรมซึ่งพัฒนามาสู่ลักษณะที่เป็นแบบไทยแท้ และไม่สามารถก่อสร้างทดแทนได้อีกในปัจจุบัน
|
..............พระพุทธชัยมงคล พระประธานภายในพระอุโบสถ วัดใหญ่ชัยมงคล..............
|
|
.....พระพุทธนฤมลธรรมโมภาส ประดิษฐานบนฐานชุกชีซึ่งมีลักษณะคล้ายที่ตั้งไม้กางเขน.....
|
ภายในเขตพื้นที่ 1,810 ไร่ของนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเอาไว้ในบัญชีมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2534 ประกอบไปด้วยโบราณสถานสำคัญขนาดใหญ่ 6 แห่ง ได้แก่ พระราชวังโบราณ, วัดมหาธาตุ, วัดพระศรีสรรเพชญ์, วัดราชบูรณะ, วัดพระราม และวิหารพระมงคลบพิตร ต่อมาในปี พ.ศ.2540 กรมศิลปากรจึงได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยาเพิ่มเติมซึ่งครอบคลุมทั้งเกาะเมืองอยุธยาและพื้นที่รอบนอกเกาะเมืองทุกด้านที่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี.....รวมเป็นเนื้อที่ของ “อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” กว่า 3,000 ไร่
|
..............................ขั้นตอนการประดิษฐ์หัวโขน..............................
|
|
..........................................งานศิลป์แห่งบางไทร..........................................
|
.....อย่างไรก็ดี.....เขตที่ดินโบราณสถานพระนครศรีอยุธยาซึ่งทางกรมศิลปากรได้ประกาศกำหนดเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ.2540 ก็ยังไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนรวมเอาไว้ในบัญชีมรดกโลกของ UNESCO (เนื่องจากทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยยังไม่ได้มีการยื่นเสนอต่อ UNESCO เพื่อขอขยายขอบเขตที่ดินมรดกโลกเพิ่มเติมครับ) ถึงกระนั้นการประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานเพิ่มเติมของกรมศิลปากรดังกล่าวข้างต้น ก็ได้ส่งผลให้มีโบราณสถานสำคัญขนาดใหญ่ถูกรวมเข้ามาไว้ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาอีกมากกว่า 20 แห่ง อาทิเช่น วัดโลกยสุธาราม, วัดหน้าพระเมรุ, วัดไชยวัฒนาราม, วัดใหญ่ชัยมงคล, เพนียดคล้องช้าง เป็นต้น
|
.....................................หัวโขน : พระราม.....................................
|
|
............ผลิตภัณฑ์ชั้นดีที่จัดแสดงอยู่ภายใน ศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ............
|
ทัวร์อยุธยา : ล่องเรือ ไหว้พระ ชมวัดชมวัง ขี่ช้างเยือนสถานที่สำคัญในกรุงเก่า
แท้จริงแล้ว.....สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา นั้นมีอยู่มากมาย ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง หากแต่ยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องที่อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภออื่นๆ อีกหลากหลายแห่ง ซึ่งถ้าใครไม่อยากจะขับรถยนต์ส่วนบุคคลไปตระเวนเที่ยวให้ทั่วๆ ด้วยตนเองก็แนะนำให้ทดลองเลือกใช้บริการ “ทัวร์อยุธยา” ดูสักครั้ง เพราะนอกจากจะได้รับความสะดวกสบายและช่วยให้ประหยัดเวลาแล้ว ทัวร์อยุธยาบางประเภทก็ยังมีบริการนำรถโค้ชปรับอากาศพานักท่องเที่ยวเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังสถานที่สำคัญหลากแห่งหลายอำเภอในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา และพาเดินทางกลับโดยการนั่งเรือสำราญล่องลงใต้มาตามแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมๆ กับรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ไทยนานาชาติมื้อกลางวันในขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังปล่อยอารมณ์ชมทิวทัศน์ด้วย (ท่านสามารถตรวจสอบโปรโมชั่นของ “ทัวร์อยุธยา” ประเภทต่างๆ ได้จากตารางราคาทางล่างบทความ และสามารถติดต่อจอง “ทัวร์อยุธยา” ประเภทที่ต้องการได้จาก “LINE ID” หรือ “หมายเลขโทรศัพท์” ในกรอบสีขาวใต้ตารางราคาครับ)
|
...................................พระพุทธไสยาสน์ วัดใหญ่ชัยมงคล...................................
|
|
..................................หอกระเช้า วัดนิเวศธรรมประวัติ..................................
|
ในบทความช่วงถัดไปทีมงานเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com) จะขออนุญาตนำคุณผู้อ่านทุกๆ ท่านไปทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้ประกอบการทัวร์อยุธยามักจะพานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติไปเยือนอยู่เสมอๆ
1. พระราชวังบางปะอิน : หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดของ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งบริการ “ทัวร์อยุธยา : ไปรถโค้ชปรับอากาศ กลับเรือสำราญ+รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ไทยนานาชาติมื้อกลางวัน (เริ่มต้นจากกรุงเทพมหานคร)” จะพานักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมทุกๆ วัน
|
พระราชวังบางปะอินเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวซึ่ง
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน
จะพาคุณมาเยี่ยมชม
|
|
.......................................สะพานตุ๊กตา.......................................
|
ตามพระราชพงศาวดารเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาได้บันทึกเอาไว้ว่า จุดกำเนิดของพระราชวังบางปะอินเกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระเจ้าปราสาททอง (พระศรีสรรเพชญ์ที่ 5 : พ.ศ.2172 – 2199) พระราชโอรสในสมเด็จพระเอกาทศรถซึ่งประสูติแต่หญิงชาวบ้านที่ทรงพบเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งแล้วเกิดล่มลงตรงเกาะบางปะอิน ภายหลังจากที่พระเจ้าปราสาททองเสด็จขึ้นครองราชย์พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งบนเกาะบางปะอินตรงบริเวณเคหสถานเดิมของพระมารดาและพระราชทานชื่อว่า “วัดชุมพลนิกายาราม” พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ขุดสระน้ำก่อสร้างพระราชนิเวศน์สถานขึ้นกลางเกาะเป็นสถานที่สำหรับเสด็จประพาส ในกาลต่อมาหลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2310 พระราชวังแห่งนี้จึงค่อยๆ รกร้างทรุดโทรมไป
|
.................................สภาคารราชประยูร.................................
|
|
อาคารในภาพจากซ้ายมาขวา : พระที่นั่งวโรภาษพิมาน.....พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์
สะพานเสาวรส (สะพานสีเขียวหลังคาสีแดง).....ประตูเทวราชครรไล
|
พระราชวังบางปะอินได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์โปรดที่จะเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอินอยู่เสมอ ด้วยทรงปรารภว่าเป็นเกาะอยู่กลางน้ำเงียบสงบร่มรื่นและเคยเป็นสถานที่ประทับประพาสของสมเด็จพระบรมชนกนาถมาก่อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นเพิ่มเติมดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
|
..........................กระโจมแตร และ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์..........................
|
|
..................................พระราชวังบางปะอิน ในวันฟ้าใส..................................
|
โดยลักษณะธรรมเนียมและประเพณีนิยมในสมัยเก่า พื้นที่ของพระราชวังบางปะอินจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ “เขตพระราชฐานชั้นนอก” และ “เขตพระราชฐานชั้นใน” เชื่อมต่อกันด้วย “สะพานเสาวรศ” สะพานลักษณะพิเศษที่มีแนวฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นตลอดแนวสะพาน ซึ่งฝ่ายในสามารถมองลอดแนวฉากบานเกล็ดออกมาได้โดยที่ตนเองไม่ถูกแลเห็น สะพานดังกล่าวข้างต้นจะทอดยาวเชื่อมต่อระหว่าง “พระที่นั่งวโรภาษพิมาน” และ “ประตูเทวราชครรไล” อันเป็นประตูทางเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นใน
|
.......................................รำลึกถึงพ่อหลวง.......................................
(นิทรรศการพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร)
|
|
สะพานเสาวรส : สะพานลักษณะพิเศษที่มีแนวฉากคล้ายบานเกล็ดกั้นตลอด
ซึ่งฝ่ายในสามารถมองลอดแนวฉากออกมาภายนอกได้โดยที่ตนเองไม่ถูกแลเห็น
|
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เลือกใช้บริการ “ทัวร์อยุธยา” หากไม่อยากจะเดินตามมัคคุเทศก์เพื่อฟังคำบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความสำคัญของสิ่งปลูกสร้างและอาคารต่างๆ ภายในเขตพระราชวังบางปะอิน ก็อาจจะเลือกเดินเที่ยวถ่ายภาพตามอัธยาศัยด้วยตนเองแล้วกลับไปยังจุดนัดหมายให้ทันตามกำหนดเวลา โดยใช้ข้อมูลรายละเอียดของสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในเขตพระราชวังบางปะอินซึ่งทีมงานเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอมได้นำมาเขียนสรุปรวบรวมเอาไว้ในย่อหน้าถัดๆ ไปเป็นแนวทางก็ได้
|
...................................แพทรงบาตร...................................
|
|
.....................................พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร.....................................
|
พระราชวังบางปะอิน เขตพระราชฐานชั้นนอก :
หอเหมมณเฑียรเทวราช เป็นปรางค์ศิลาขนาดย่อม ยอดทรงปราสาทแบบขอม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2423 เพื่อทรงอุทิศถวายแด่พระเจ้าปราสาททอง
สภาคารราชประยูร เป็นตึกสองชั้นริมน้ำสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2419 สำหรับเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายหน้าและข้าราชบริพาร ปัจจุบันเป็นอาคารจัดแสดงสิ่งของที่มีผู้ทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช (รัชกาลที่ 9) เนื่องในวโรกาสต่างๆ
|
.............ประตูเทวราชครรไล เดิมเคยถูกเรียกว่า ประตูเทวราชดำรงศร.............
|
|
................................อีกมุมของเรือนแพ................................
|
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ เดิมทีพระที่นั่งหลังนี้เคยถูกก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังจากเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ก็ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างชำรุดทรุดโทรมพุพังไปตามกาลเวลา ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ขึ้นใหม่ในลักษณะปราสาทจัตุรมุขโดยจำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ปัจจุบันภายในพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อสัมฤทธิ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์เต็มยศจอมพลทหารบก
|
.......ประติมากรรมแบบตะวันตกที่พบเห็นได้ทั่วไปภายใน พระราชวังบางปะอิน.......
|
|
......................ซุ่มรถจำหน่ายอาหารว่าง..ที่ไม่ได้เปิดทุกวัน......................
|
พระที่นั่งวโรภาษพิมาน นี่คือพระที่นั่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างขึ้น ณ บริเวณที่ประทับเดิมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเมื่อแรกก่อสร้างเป็นอาคารตึก 2 ชั้น ต่อมาได้ดัดแปลงรื้อลงเป็นชั้นเดียว ภายในพระที่นั่งใช้เป็นสถานที่ประทับและมีท้องพระโรงสำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกว่าราชการ มีห้องโถงและห้องทรงพระสำราญประดับภาพเขียนสีน้ำมันพระราชพงศาวดารประกอบโคลงบรรยายอันงดงามทรงคุณค่า ภาพเขียนดังกล่าวแสดงถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยและฉากต่างๆ ของวรรณคดีไทยหลายเรื่อง
|
...................หอวิฑูรทัศนา : หอส่องกล้องชมภูมิประเทศและดูดาว...................
|
|
.......ความงดงามจากรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.......
|
พระราชวังบางปะอิน เขตพระราชฐานชั้นใน :
พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร เป็นพระที่นั่งเรือนไม้สองชั้นแบบชาเลต์ของสวิส คือ มีเฉลียงทั้งชันบนและชั้นล่างทาสีเขียวอ่อนสลับกับเขียวแก่กันทั้งองค์พระที่นั่ง ภายในตกแต่งสไตล์ยุโรปด้วยเครื่องเรือนแบบฝรั่งเศสสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 เป็นชุดเดียวเข้ากันหมดทั้งพระที่นั่งอย่างงดงาม แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในปี พ.ศ.2481 ขณะที่มีการเนินการซ่อมทาสีพระที่นั่งได้เกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้เสียหายหมดสิ้นทั้งองค์ คงเหลือแต่หอน้ำลักษณะคล้ายหอรบของยุโรป
ต่อมาในปี พ.ศ.2537 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการก่อสร้างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรขึ้นใหม่
|
.............ทิวทัศน์ของ พระที่นั่งเวหาศจำรูญ เมื่อมองจากหอวิฑูรทัศนา.............
|
|
...........กลุ่มพ่อค้าชาวจีนในไทยก่อสร้างพระที่นั่งหลังนี้น้อมเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5...........
|
พระที่นั่งเวหาศจำรูญ เป็นพระที่นั่งสองชั้นลักษณะศิลปะแบบจีน ก่อสร้างขึ้นอย่างงดงามโดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในประเทศไทยเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.2432 ภายในห้องกลางชั้นบนของพระที่นั่งเป็นสถานที่ประดิษฐานพระที่นั่งเก๋ง 3 องค์ซึ่งทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายต่างๆ ลงรักปิดทองงามอร่าม ช่องตะวันตกประดิษฐานพระป้ายจารึก (อักษรจีน) พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระนามาภิไธยกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ ช่องกลางประดิษฐานพระพุทธรูป ช่องตะวันออกประดิษฐานพระป้ายจารึก (อักษรจีน) พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระนามาภิไธยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
|
...................................พระตำหนักเก้าห้อง...................................
|
|
....................พระที่นั่งเวหาศจำรูญ มีนามในภาษาจีนว่า เทียนเม่งเต้ย....................
|
หอวิฑูรทัศนา เป็นหอสูงยอดมนตั้งอยู่กลางเกาะในเขตพระราชอุทยาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ก่อสร้างหอแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2424 เพื่อใช้เป็นหอส่องกล้องดูดาวและชมภูมิประเทศ
พระตำหนักฝ่ายใน เป็นกลุ่มอาคารชั้นเดียวและสองชั้นเรียงรายกันอยู่ ปัจจุบันพระตำหนักเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่องค์
|
....................................กระถางเฟื่องฟ้า....................................
|
|
ใครที่อยากจะมีโอกาสได้พบเห็นความสวยงามแบบนี้.....ก็น่าจะลองมา
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน กันนะ
|
นอกเหนือไปจากสถานที่สำคัญต่างๆ ดังได้กล่าวถึงมาข้างต้นแล้ว ภายในพระราชวังบางปะอินก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างและผลงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง อาทิเช่น สะพานตุ๊กตา, กระโจมแตร, ตำหนักแพ, ประตูสาครประพาส, หอน้ำ, อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (สมเด็จพระนางเรือล่ม), เป็นต้น.....ซึ่งตามปกติบริการทัวร์อยุธยาจะปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาเดินชมและถ่ายภาพโดยรอบพระราชวังบางปะอินเป็นระยะเวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง ก่อนที่มัคคุเทศก์จะพานักท่องเที่ยวเดินทางต่อไปยังสถานที่สำคัญแห่งอื่นๆ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา
|
...............................................พู่จอมพลชมภู...............................................
|
|
.................................................สร้อยอินทนิล.................................................
|
2. วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร : หากนักท่องเที่ยวลองเดินจากบริเวณลานจอดรถหน้าพระราชวังบางปะอินไปทางทิศตะวันตก ก็จะได้พบกับกระเช้าข้ามคลองซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าดังกล่าวข้ามลำน้ำไปยัง “วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร” ได้ (สามารถบริจาคค่าไฟฟ้าสำหรับนั่งกระเช้าได้ตามกำลังศรัทธา บางครั้งอาจต้องนั่งรอเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมกระเช้าสักพักใหญ่ๆ)
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โปรดฯ ให้ก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับยังพระราชวังบางปะอิน โดยก่อสร้างเลียนแบบลักษณะสถาปัตยกรรมศิลปะโกธิค (Gothic) คล้ายโบสถ์คริสต์ ภายในพระอุโบสถของวัดประดิษฐาน “พระพุทธนฤมลธรรมโมภาส” เป็นองค์พระประธานบนฐานชุกชีซึ่งมีลักษณะเหมือนที่ตั้งไม้กางเขน ฝาผนังพระอุโบสถด้านหน้าองค์พระประธานเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประดับด้วยกระจกสี.....ถึงแม้ว่าผู้ให้บริการ “ทัวร์อยุธยา” ส่วนใหญ่จะไม่ได้พานักท่องเที่ยวมาเยือนวัดแห่งนี้ แต่ผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังพระราชวังบางปะอินด้วยตนเองมักจะไม่มีใครยอมพลาดการนั่งกระเช้าข้ามคลองไปชื่นชมความงดงามของวัดพุทธซึ่งถูกก่อสร้างขึ้นโดยเลียนแบบโบสถ์คริสต์แห่งนี้เลย
|
..........................ศิลปะแบบโกธิค (Gothic) ภายในวัดพุทธ..........................
|
|
.......................บางมุมของ วัดนิเวศธรรมประวัติ.......................
|
3. วัดมหาธาตุ : เป็นหนึ่งในวัดขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่มรดกโลกทางด้านทิศตะวันออกของพระราชวังหลวงภายในเขตเกาะเมืองอยุธยา (ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา) เดิมทีวัดมหาธาตุเคยมีฐานะเป็นพระอารามหลวงอันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เป็นวัดกลางเมืองซึ่งก่อสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ในพระราชพงศาวดารได้บันทึกเอาไว้ว่า องค์ปรางค์ประธานถูกก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.1917 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ต่อมาจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ในรัชสมัยของสมเด็จพระราเมศวร
|
..........................บุปผาเบ่งบานบนกำแพงศิลาในพื้นที่มรดกโลก..........................
|
|
...............ณ วัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา...............
|
ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา.....องค์ปรางค์ประธานของวัดมหาธาตุได้พังทลายลงมา แต่ภายหลังก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหมดในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททองเมื่อปี พ.ศ.2176 ต่อมาวัดมหาธาตุถูกเผาทำลายในเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2310 และถูกปล่อยทิ้งรกร้างเอาไว้มาจวบจนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ องค์ปรางค์ประธานซึ่งเคยได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จึงพังทลายลงมาอีกครั้งและคงหลงเหลือแค่เพียงส่วนฐานดังเช่นที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
|
............................เศียรพระพุทธรูปในรากไม้............................
|
|
...............เพราะว่าความงดงาม ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ...............
|
สิ่งที่น่าสนใจและถือเป็นจุดถ่ายภาพซึ่งพลาดไม่ได้เลยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกๆ คนที่เดินทางมาเยือนวัดมหาธาตุ จ.พระนครศรีอยุธยา ก็คือ “เศียรพระพุทธรูปในรากไม้” ซึ่งเป็นเศียรพระพุทธรูปหินทรายที่แตกหักจากองค์พระแล้วถูกรากต้นโพธิ์ข้างๆ วิหารรายเจริญขึ้นปกคลุม ลักษณะพระพักตร์ของเศียรพระพุทธรูปค่อนข้างแบนและกว้าง พระขนงและขอบพระเนตรป้ายเป็นแผ่นใหญ่ พระโอษฐ์กว้างเป็นแนวตรง ขอบพระโอษฐ์ยกเป็นสันขึ้นเล็กน้อย เป็นรูปแบบศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลางกำหนดอายุได้ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 21 (สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปหินทรายซึ่งแตกหักเหลือเพียงแค่เศียรนี้สร้างขึ้นในสมัยหลังจากองค์ปรางค์ประธานครับ)
|
......................The Historic City of Ayutthaya......................
|
|
...................ในอดีต วัดมหาธาตุ เคยมีฐานะเป็นพระอารามหลวง...................
|
เมื่อปี พ.ศ.2499 ทางกรมศิลปากรได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำการสำรวจขุดค้นซากปรางค์ภายในบริเวณวัดมหาธาตุ จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้ได้พบกับโบราณวัตถุหลายอย่างบรรจุอยู่ในกรุ ทั้งพระบรมสารีริกธาตุซึ่งบรรจุอยู่ในสถูปชั้นเงินและนาค, สถูปแก้วซึ่งมีผอบทองเล็กๆ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและมีพลอยสีต่างๆ วางประดับไว้โดยรอบ, พระพุทธรูปทองคำ, แหวนทองคำหลายสิบวงและเครื่องประดับอื่นๆ อีกเป็นอันมาก.....ในปัจจุบัน.....โบราณวัตถุต่างๆ เหล่านี้ส่วนหนึ่งถูกนำไปเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา (พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโบราณสถานวัดมหาธาตุสักเท่าไหร่ครับ)
|
ไม่คุณว่าจะเลือกใช้บริการ
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน
ในเส้นทางใดๆ.....ก็จะได้มาเยือนวัดมหาธาตุเสมอ
|
|
.................................แสงเงาในยามเย็น.................................
|
4.วิหารพระมงคลบพิตร : สันนิษฐานว่า “พระมงคลบพิตร” ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เดิมทีพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์นี้เคยประดิษฐานอยู่กลางแจ้งทางด้านทิศตะวันออกของพระราชวังหลวง ต่อมาราวปี พ.ศ.2146 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชะลอพระมงคลบพิตรมาไว้ทางด้านทิศตะวันตก แล้วทรงให้ก่อสร้างมณฑปขึ้นครอบเมื่อปี พ.ศ.2236 .....กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาจวบจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2249 ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือเกิดอสนีบาต (ฟ้าผ่า) ต้องยอดมณฑปกลายเป็นไฟลุกไหม้เครื่องมณฑปพังลงมาต้องพระศอของพระมงคลบพิตรหัก สมเด็จพระเจ้าเสือจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แปลงมณฑปเป็นวิหารและบูรณะพระศอขององค์พระมงคลบพิตร ครั้นต่อมาถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วิหารและองค์พระประธานใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
|
................................ครั้งหนึ่งฉันเคยมาที่นี่................................
|
|
..............................โบราณวัตถุภายใน วิหารพระมงคลบพิตร..............................
|
ภายหลังจากเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 วิหารพระมงคลบพิตรและองค์พระประธานถูกไฟไหม้ชำรุดทรุดโทรมเสียหาย มีเครื่องประกอบต่างๆ บนวิหารตกลงมาต้องพระกรขวาและพระเมาฬีของพระมงคลบพิตรหัก จวบจนถึงปี พ.ศ.2499 ในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้มีการมอบหมายให้ทางกรมศิลปากรเข้ามาทำการบูรณะซ่อมแซมวิหารและองค์พระมงคลบพิตรเสียใหม่ การบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งนี้นำมาสู่การค้นพบพระพุทธรูปองค์ขนาดย่อมจำนวนมากบรรจุอยู่ภายในพระอุระด้านขวาของพระมงคลบพิตรเมื่อปี พ.ศ.2500.....ปัจจุบันพระพุทธรูปซึ่งถูกค้นพบในพระอุระอ้านขวาของพระมงคลบพิตรได้รับการนำไปเก็บรักษาและจัดแสดงเอาไว้ที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา” และ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม”
|
..............................ราวกับพระพุทธรูปมีชีวิต..............................
|
|
..........................ริ้วรอยลายทองแห่งผองศรัทธา..........................
|
5.วัดพระศรีสรรเพชญ์ : เป็นวัดในพระราชวังหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยาและนับเป็นต้นแบบของวัดภายในพระบรมมหาราชวังแห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (ได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว) มีเนื้อความในพระราชพงศาวดารบันทึกเอาไว้ว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายสถานที่ตั้งพระราชวังขึ้นไปทางเหนือจนจรดกับแม่น้ำลพบุรี แล้วทรงยกผืนดินอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังเดิมเพื่อก่อสร้างเป็นเขตพุทธาวาสภายในเขตพระราชวังแห่งใหม่ (พุทธาวาส น. ส่วนหนึ่งของวัดประกอบด้วยอุโบสถ วิหาร เจดีย์ ใช้เป็นสถานที่ประกอบสังฆกรรม โดยมีกำแพงกั้นแยกไว้ต่างหากจากส่วนที่พระภิกษุสามเณรอยู่อาศัยซึ่งเรียกว่า “สังฆาวาส”)
|
............วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดในพระราชวังหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยา............
|
|
นักโบราณคดีกล่าวกันว่า.....วัดแห่งนี้คือต้นแบบของ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) แห่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์
|
“ศักราช 854 ชวดศก.....ประดิษฐานมหาสถูปพระบรมธาตุสมเด็จพระบรมไตรโลกและสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า” จากข้อความตามพระราชพงศาวดารข้างต้นทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่า ในปี พ.ศ.2035 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา (พระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างเจดีย์ใหญ่ขึ้น 2 องค์ภายในบริเวณวัด ได้แก่ เจดีย์องค์ตะวันออกและเจดีย์องค์กลาง เพื่อใช้บรรจุพระบรมอัฐิของพระราชบิดาและพระเชษฐา ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 แห่งกรุงศรีอยุธยา (พระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างเจดีย์ขึ้นอีก 1 องค์เรียงต่อมาทางด้านทิศตะวันตกเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2.....ทุกวันนี้สถูปเจดีย์ทั้ง 3 องค์ดังกล่าวข้างต้นถือเป็นผลงานสถาปัตยกรรมโบราณยุคกรุงศรีอยุธยาอันเป็นเอกลักษณ์ของวัดพระศรีสรรเพชญ์
|
..........................................พานบายศรี..........................................
|
|
....................................สิ่งสักการะ....................................
|
วิหารหลวงของวัดก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2042 โดยตั้งอยู่เบื้องหน้าสถูปเจดีย์องค์ตะวันออก ในปีถัดมาจึงมีการสร้างพระพุทธรูปยืนหุ้มทองขนาดใหญ่ประดิษฐานไว้ภายในวิหารหลวง พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวได้รับพระราชทานนามว่า “พระศรีสรรเพชญ” เล่ากันว่าเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ฝ่ายทหารพม่าได้สุมไฟเผาองค์พระจนเสียหายด้วยหมายจะลอกเอาทอง ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญชิ้นส่วนชำรุดของ “พระศรีสรรเพชญ” ลงมายังกรุงเทพมหานครและบรรจุชิ้นส่วนซึ่งไม่อาจบูรณะซ่อมแซมได้เหล่านั้นเอาไว้ภายในเจดีย์องค์ใหญ่ที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ แล้วจึงพระราชทานชื่อเจดีย์องค์ดังกล่าวว่า “เจดีย์สรรเพชญดาญาณ”
|
...................แมกไม้ในอุทยานประวัติศาสตร์...................
|
|
......................เสน่ห์ซึ่งผ่านวันเวลามาเนิ่นนาน.....................
|
6. วัดหน้าพระเมรุ : เป็นวัดเพียงแค่แห่งเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าเผาทำลายเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรีนอกเกาะเมืองอยุธยาทางด้านทิศเหนือ ตามตำนานกล่าวว่าพระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ.2046 และประทานนามว่า “วัดหน้าพระเมรุราชิการาม” ซึ่งต่อมาภายหลังนิยมเรียกกันสั้นๆ เพียงแค่ “วัดหน้าพระเมรุ” นักโบราณคดีสันนิษฐานกันว่าบริเวณอันเป็นสถานที่ก่อสร้างวัดหน้าพระเมรุนั้นน่าจะเคยเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งมาก่อน
|
................................แสงเทียน................................
|
|
.........................วัตถุบูชา ณ วัดหน้าพระเมรุราชิการาม.........................
|
มีความเชื่อบางประการที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาในหมู่ชาวบ้านพื้นถิ่นของอยุธยาว่า สาเหตุซึ่งทำให้วัดหน้าพระเมรุไม่ถูกเผาทำลายไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 อาจเป็นเพราะบุญญาธิการอันศักดิ์สิทธิ์ของ “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ” พระประธานในอุโบสถซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสำริดลงรักปิดทอง ทรงเครื่องพระมหากษัตราธิราช ปางมารวิชัย หน้าตักกว้างราว 4.4 เมตร สูงประมาณ 6 เมตร มีพระลักษณะอันงดงาม ถือเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องขนาดใหญ่ที่พบเห็นได้เพียงแค่ไม่กี่องค์ในประเทศไทย
|
............พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ............
พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหากษัตราธิราช ปางมารวิชัย ภายในวัดหน้าพระเมรุ
|
|
..............และแล้วเปลวไฟก็จะค่อยๆ หรี่ลับไปในกาลเวลา..............
|
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดหน้าพระเมรุนอกจาก “พระพุทธนิมิตฯ” และ “พระอุโบสถเก่า” ซึ่งก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ก็ยังมี “พระคันธารราฐ” พระพุทธรูปสมัยทวารวดีขนาดใหญ่ที่แกะสลักขึ้นจากศิลาสีเขียว อายุกว่า 1,500 ปี พระคันธารราฐเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประทับนั่งห้อยพระบาทบนบัลลังก์ หน้าตักกว้างราว 1.7 เมตร สูงประมาณ 5.2 เมตร เชื่อกันว่าเมื่อแรกเริ่มเดิมทีนั้นพระคันธารราฐได้รับการอัญเชิญจากนครลังกามาประดิษฐานอยู่ ณ วัดมหาธาตุแห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้นภายหลังจากที่วัดหน้าพระเมรุได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์.....พระยาไชยวิชิต (เผือก) จึงได้อัญเชิญพระคันธารราฐย้ายมาประดิษฐานอยู่ภายในวิหารน้อยของวัดหน้าพระเมรุ
|
.........................ใครจะจุดธูปจุดเทียนเชิญทางนี้ได้เลยนะ.........................
|
|
.........................พระพุทธลีลาสมัยลพบุรี อายุกว่า 800 ปี.........................
|
7. วัดโลกยสุธาราม : หรือที่ชาวอยุธยานิยมเรียกกันว่า “วัดพระนอน” เป็นวัดซึ่งตั้งอยู่ในเขตเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันตก ตามพระราชพงศาวดารในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่พบบันทึกใดๆ เกี่ยวกับการก่อสร้างวัดโลกยสุธาราม แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีและการศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบทางด้านสถาปัตยกรรม ทำให้พบว่าปรางค์ประธานของวัดโลกยสุธารามมีลักษณะคล้ายคลึงกับพระปรางค์ของวัดราชบูรณะ พระปรางค์วัดมหาธาตุ และพระปรางค์วัดส้ม ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ด้วยเหตุดังกล่าวนักวิชาการโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่าวัดโลกยสุธารามน่าจะก่อสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเช่นเดียวกัน
|
.....................พระพุทธไสยาสน์ หรือ พระนอนวัดโลกยสุธาราม.....................
|
|
.......พระพุทธไสยาสน์มีความยาวตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาทรวมประมาณ 42 เมตร.......
|
“พระพุทธไสยาสน์” หรือ “พระนอนวัดโลกยสุธาราม” ถือเป็นผลงานสถาปัตยกรรมแห่งยุคกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีความสวยงามโดดเด่นมากที่สุดภายในวัดแห่งนี้ ตามบันทึกรายงานทางประวัติศาสตร์พบว่าพระพุทธไสยาสน์วัดโลกยสุธารามเคยได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2497 จนมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องดังเช่นที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน พระเศียรของพระพุทธไสยาสน์หันไปทางด้านทิศเหนือ พระพักตร์ผันไปทางด้านทิศตะวันตก มีดอกบัวปูนปั้นรองรับพระเศียร ลักษณะพระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก นิ้วพระบาทยาวเท่ากัน พระพุทธไสยาสน์มีความยาวตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาทรวมทั้งหมดประมาณ 42 เมตร
|
วัดโลกยสุธาราม เป็นอีก 1 สถานที่ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในเส้นทางเยี่ยมชมตามโปรแกรม
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน
|
|
.....................เพลาเย็นเบื้องหน้า วัดไชยวัฒนาราม.....................
|
8. วัดไชยวัฒนาราม : เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งทิศตะวันตก นอกเขตเกาะเมืองอยุธยา ด้วยความงดงามเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแห่งยุคกรุงเก่าทำให้วัดโบราณแห่งนี้ถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครโทรทัศน์ชื่อดังหลายเรื่อง อาทิเช่น สุภาพบุรุษจุฑาเทพ : ตอน คุณชายพุฒิภัทร (ออกอากาศครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2556), บุพเพสันนิวาส (ออกอากาศครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2561) เป็นต้น .....เดิมที.....วัดไชยวัฒนารามเคยมีชื่อเรียกว่า “วัดไชยาราม” หรือ “วัดไชยชนะทาราม” มีฐานะเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงศรีอยุธยา
|
.............................Walking Through Time.............................
|
|
การเช่าชุดไทยโบราณมาสวมใส่เพื่อเดินเที่ยวและถ่ายภาพที่ระลึกภายในบริเวณ
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
|
วัดไชยวัฒนารามได้รับการก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2173 ในสมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา โดยพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นบนผืนแผ่นดินอันเคยเป็นนิวาสถานของพระราชชนนี เพื่ออุทิศถวายแด่พระราชชนนีซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนที่พระเจ้าปราสาททองจะเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์.....อย่างไรก็ดี.....มีข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งถึงจุดกำเนิดในการก่อสร้างวัดไชยวัฒนารามของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวเอาไว้ว่า วัดแห่งนี้น่าจะถูกก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือนครละแวกโดยจำลองรูปแบบทางสถาปัตยกรรมส่วนหนึ่งมาจากปราสาทนครวัด
|
วัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างขึ้น
เพื่ออุทิศถวายแด่พระราชชนนีซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนที่พระองค์จะเสวยราชสมบัติ
|
|
............................มรดกล้ำค่าจากบรรพบุรุษไทย............................
|
สถาปัตยกรรมหลักอันเป็นประธานของวัดไชยวัฒนาราม ได้แก่ กลุ่มปรางค์ 5 องค์ซึ่งล้อมรอบด้วยระเบียงคด มีอาคารทรงปราสาทยอดอยู่กึ่งกลางและมุมของระเบียงคดแต่ละด้านเรียกว่า “เมรุทิศ – เมรุราย” เมื่อพิจารณาถึงลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมตลอดจนแผนผังการวางตำแหน่งก่อสร้างโบราณสถานต่างๆ ภายในเขตวัดไชยวัฒนาราม ก็แสดงให้เห็นถึงพระราชนิยมของพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยาที่ได้ทรงรับอิทธิพลความเชื่อตามแบบเทวราชาจากขอมเข้ามาในรัชสมัยของพระองค์
|
......................พระปรางค์ภายในเขตพื้นที่ วัดไชยวัฒนาราม......................
|
|
.........นักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็เลือกที่จะเช่าเหมาเรือล่องชมทิวทัศน์รอบเกาะเมือง.........
(ติดต่อเช่าเหมาเรือล่องรอบเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาได้จาก
"หมายเลขโทรศัพท์" หรือ "LINE ID" ในกรอบสีขาวท้ายบทความรีวิวนี้นะ)
|
ด้วยฐานะของพระอารามหลวงแห่งกรุงศรีอยุธยา ทำให้วัดไชยวัฒนารามถูกใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์สืบต่อมาจากสมัยของพระเจ้าปราสาททองทุกพระองค์ จึงทำให้วัดแห่งนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมาทุกรัชสมัย ต่อมาก่อนเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 พื้นที่โดยรอบบริเวณวัดไชยวัฒนารามได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นป้อมค่ายตั้งรับข้าศึกศัตรู ครั้นเมื่อเสียกรุงแล้ววัดแห่งนี้จึงถูกปล่อยทิ้งให้รกร้าง บางคราวก็มีโจรผู้ร้ายเข้าไปลักลอบขุดหาสมบัติ เศียรพระพุทธรูปถูกตัดขโมย มีการรื้อแนวอิฐที่พระอุโบสถและกำแพงวัดไปขาย วันเวลาล่วงเลยผ่านมาจวบจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2530 ทางกรมศิลปากรจึงได้เข้ามาทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดไชยวัฒนารามครั้งใหญ่จนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2535
|
....................ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวความทรงจำ....................
|
|
..........แม้ความชำรุดบกพร่องก็มิอาจลดทอนเค้าลางแห่งความงดงามในวันก่อนเก่า..........
|
9. วัดใหญ่ชัยมงคล : เป็นวัดซึ่งมีขนาดขององค์เจดีย์ที่สูงที่สุดใน จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 : พระมหากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา) ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อราวปี พ.ศ.1900 พระเจ้าอู่ทองได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระศพของเจ้าแก้วซึ่งทิวงคตด้วยอหิวาตกโรคมาเผา แล้วจึงโปรดให้สถาปนาพระอารามขึ้น ณ บริเวณอันเป็นจุดปลงพระศพ เพื่อใช้เป็นสถานพำนักของพระภิกษุสงฆ์ซึ่งบวชเรียนมาแต่สำนักพระวันรัตนมหาเถรในลังกาทวีป โดยพระราชทานชื่อของพระอารามแห่งนี้ว่า “วัดป่าแก้ว”
|
...................ราวกับได้ท่องเที่ยวย้อนรอยไปในอดีต...................
|
|
..................................งามอย่างไทย..................................
|
.....กาลต่อมา.....คณะสงฆ์แห่งสำนักวัดป่าแก้วได้รับความเคารพเลื่อมใสจากประชาชนชาวกรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก มีผู้คนทยอยขอเข้ามาบวชเรียนกันอย่างแพร่หลาย พระเจ้าอู่ทองจึงทรงแต่งตั้งอธิบดีสงฆ์นิกายนี้ขึ้นเป็น “สมเด็จพระวันรัตน” รั้งตำแหน่ง “สังฆราชฝ่ายขวา” เคียงคู่กับ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” ผู้เป็นอธิบดีสงฆ์ฝ่ายคันถธุระซึ่งรั้งตำแหน่ง “สังฆราชฝ่ายซ้าย” และด้วยเหตุที่วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ประทับสถิตของสมเด็จพระสังฆราช ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเรียกจาก “วัดป่าแก้ว” เป็น “วัดเจ้าไท” หรือ “วัดเจ้าพญาไท”
|
.......1 ในพระพุทธรูปปางมารวิชัยซึ่งประดิษฐานอยู่ล้อมรอบองค์ พระเจดีย์ชัยมงคล.......
|
|
..............................ประติมากรรมแห่งศรัทธา..............................
|
ใครที่เคยได้ชมภาพยนตร์มหากาพย์อิงประวัติศาสตร์เรื่อง “สุริโยไท” (ออกฉายในโรงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2544 กำกับการแสดงโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์มีความยาวประมาณ 300 นาที) อาจจะยังพอจำเรื่องราวในภาพยนตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการแก่งแย่งชิงอำนาจภายในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ดี นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เหตุการณ์ที่ “พระเฑียรราชา” ได้ทำการเสี่ยงเทียนอธิษฐานแข่งบารมีกับ “ขุนวรวงศาธิราช” ก่อนจะปราบดาภิเษกยึดอำนาจจาก “ขุนวรวงศาธิราช” และ “ท้าวศรีสุดาจันทร์” จนสามารถขึ้นครองราชย์สมบัติได้สำเร็จ ก็เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายในพระอุโบสถเก่าของวัดแห่งนี้นี่เอง
|
.........................องค์ประธาน กับ องค์บริวาร ?.........................
|
|
.......วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นวัดที่มีขนาดขององค์เจดีย์สูงที่สุดใน จ.พระนครศรีอยุธยา.......
|
สำหรับจุดกำเนิดของชื่อ “วัดใหญ่ชัยมงคล” นั้นเริ่มต้นขึ้นมาจากเหตุการณ์ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อปี พ.ศ.2135 .....ครั้งนั้น.....พระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีได้กรีฑาทัพเข้ามาด้วยหมายจะตีปราบปรามชาวกรุงศรีอยุธยาให้ยอมตนตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพม่าอีกครั้ง ครั้นเมื่อสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ทราบความดังกล่าวจึงยกทัพพร้อมกับสมเด็จพระเอกาทศรถผู้เป็นพระอนุชาออกไปรับศึก จนเกิดเป็นเหตุการณ์ “สงครามยุทธหัตถี” ขึ้น ณ ตำบลหนองสาหร่าย แขวงเมืองสุพรรณบุรี ภายหลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้รับชัยชนะโดยทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง พระองค์ก็ทรงดำริจะลงพระราชอาญาประหารชีวิตเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองที่ไม่สามารถขี่ช้างตามพระองค์ไปได้ทันในการศึก จนทำให้พระองค์ต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกองทหารพม่า แต่สมเด็จพระวันรัตนแห่งวัดป่าแก้วและพระภิกษุสงฆ์อีก 25 รูปได้ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่เหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองเหล่านั้น แล้วทูลแนะนำให้ทรงก่อสร้างมหาเจดีย์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแห่งชัยชนะขึ้นทดแทน ต่อมามหาเจดีย์องค์ดังกล่าวจึงได้รับการพระราชทานนามว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล” และมีการเรียกชื่อวัดแห่งนี้สืบมาว่า “วัดใหญ่ชัยมงคล” จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
|
..........พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระเจดีย์ชัยมงคล..........
|
|
..........................พุทธศิลป์หลากสมัย หลายลักษณะ..........................
|
10. วัดพระงาม : หรือ “วัดชะราม” ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองอยุธยาทางด้านทิศเหนือบริเวณทุ่งขวัญ (ในเขตท้องที่ ต.คลองสระบัว อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา) ตัววัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีเจดีย์แปดเหลี่ยมเป็นองค์ประธานของวัด ทางด้านทิศตะวันออกของเจดีย์เป็นพระอุโบสถเก่า มีการก่อกำแพงแก้วและขุดคูน้ำล้อมเอาไว้โดยรอบบริเวณวัด สิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในบริเวณวัดพระงามมีร่องรอยการบูรณปฏิสังขรณ์มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ปรากฏหลักฐานในบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวว่าวัดแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อใด คงมีเพียงแค่การจารึกถึงชื่อของวัดอยู่ในโคลงบทที่ 23 ของนิราศนครสวรรค์ซึ่งเชื่อว่านิราศเรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
|
...........................................รักแท้เหนือกาลเวลา...........................................
|
|
...........................................นางไม้ ?...........................................
|
.....ตามปกติ.....ผู้ประกอบการทัวร์อยุธยาจะไม่ได้พานักท่องเที่ยวมาเยือนวัดพระงาม เนื่องจากถนนที่ใช้สัญจรเข้าไปยังวัดแห่งนี้จะมีลักษณะเป็นตรอกแคบๆ ซึ่งรถโค้ชปรับอากาศขนาดใหญ่ไม่สามารถแล่นผ่านได้ อีกทั้งลานจอดรถบริเวณวัดพระงามก็ยังสามารถรองรับรถยนต์ส่วนบุคคลได้เพียงแค่ไม่เกิน 6 – 7 คันเท่านั้น (สรุปสั้นๆ คือ ขับรถเข้าไปค่อนข้างยากและหาที่จอดรถได้ลำบากครับ).....อย่างไรก็ดี.....ความสวยงามโดดเด่นของ “ประตูแห่งกาลเวลา” ซุ้มประตูอิฐโบราณของวัดพระงามซึ่งมีรากต้นโพธิ์เจริญขึ้นปกคลุมอยู่เต็มจนกลายสภาพเป็นทิวทัศน์อันแปลกตา ก็ทำให้ทีมงานเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอมอดไม่ได้ที่จะขอแนะนำวัดแห่งนี้ให้ทุกๆ คนได้รู้จัก (สามารถใช้ Application Google Maps นำทางไปยังวัดแห่งนี้ได้ แต่เส้นทางช่วงท้ายก่อนถึงวัดพระงามอาจดูงงๆ เล็กน้อย หากสังเกตเห็นป้ายบอกทางก็แนะนำให้ขับรถตามป้ายบอกทางต่อไปจนถึงลานจอดรถของวัดครับ)
|
......................................เก็บบัวหลวง......................................
|
|
....................ประตูแห่งกาลเวลา วัดพระงาม จ.พระนครศรีอยุธยา....................
|
11. วังช้างอยุธยา แล เพนียด : นอกเหนือไปจากการเดินเที่ยวชมความงดงามของสถาปัตยกรรมโบราณแห่งยุคกรุงเก่าแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน จ.พระนครศรีอยุธยา ก็คือ “การขี่ช้างชมเมือง” ซึ่ง “วังช้างอยุธยา แล เพนียด” ก็นับเป็นหนึ่งในจุดให้บริการขี่ช้างเที่ยวชมรอบๆ บริเวณเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาซึ่งมีเหล่าบรรดาอาคันตุกะแวะเวียนมาใช้บริการอยู่เสมอ (ท่านสามารถตรวจสอบอัตราค่าบริการต่างๆ ของ “วังช้างอยุธยา แล เพนียด” ได้จากตารางทางด้านล่างสุดของบทความและสามารถติดต่อจองบริการต่างๆ ในราคาโปรโมชั่นได้จาก “LINE ID” หรือ “หมายเลขโทรศัพท์” ในกรอบสีขาวทางด้านล่างตารางราคาครับ)
|
.........................สัตว์พาหนะสมัยสงครามยุทธหัตถี.........................
|
|
การนั่งช้างชมทิวทัศน์ภายในบริเวณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
|
วังช้างอยุธยา แล เพนียด ถือเป็นปางช้างซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งอยู่ริมถนนป่าโทนข้างๆ คุ้มขุนแผน ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา (อยู่ใกล้กับวิหารพระมงคลบพิตรครับ) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมศิลปากรและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เดิมทีปางช้างแห่งนี้เคยมีชื่อเรียกว่า “ปางช้างอยุธยา แล เพนียด” ต่อมาภายหลังจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “วังช้างอยุธยา แล เพนียด” เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่สถานที่และเจ้าของผู้ดำเนินงาน
|
........................ผู้นำขบวนของ วังช้างอยุธยา แล เพนียด........................
|
|
................................จุดแวะพักให้ถ่ายภาพ................................
|
12. ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร : ก่อตั้งขึ้นจากแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2523 (ใช้เงินทุนแรกเริ่มก่อตั้งจากทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ประกอบกับเงินบริจาคของประชาชน) โดยมีวัตถุประสงค์ในอันที่จะฝึกอบรมศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านแขนงต่างๆ ให้แก่เกษตรกรผู้ยากไร้ เพื่อให้มีอาชีพเสริมเพิ่มเติมรายได้แก่ครอบครัวในยามที่ว่างเว้นจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และเพื่อเป็นศูนย์อนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยให้คงอยู่ตลอดไป ปัจจุบันศูนย์ศิลปาชีพบางไทรมีเนื้อที่รวมกว่า 1,000 ไร่ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขต อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา
|
..ตัวอย่างห้องนั่งเล่นซึ่งตกแต่งด้วยผลิตภัณฑ์ของ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ..
|
|
...........................................ชามบัว (Lotus Bowl)...........................................
|
.....ทุกวันนี้.....ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรได้ทำการฝึกอบรมและสรรสร้างบุคลากรผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถในงานศิลปหัตถกรรมด้านต่างๆ แบ่งแยกออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. การอนุรักษ์ศิลปะไทยโบราณ : มุ่งเน้นที่จะคงรูปแบบของภูมิปัญญาดั้งเดิมทางด้านศิลปหัตถกรรมของไทยเอาไว้ทุกประการ เช่น แผนกช่างประดิษฐ์หัวโขน, ทำหุ่นกระบอก, แผนกช่างปักผ้ายก และการเขียนลายรดน้ำ เป็นต้น
2. ศิลปะไทยแบบประยุกต์ : ซึ่งเป็นการดัดแปลงศิลปะไทยแบบดั้งเดิมให้มีความร่วมสมัย เช่น แผนกช่างจิตรกรรมประยุกต์, เบญจรงค์ประยุกต์ และประติมากรรมร่วมสมัย
3. ศิลปะสากล หรือ ศิลปะสมัยใหม่ : เป็นการฝึกอบรมเพื่อให้บุคลากรสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะตามแนวสมัยนิยมในยุคปัจจุบันได้อย่างสวยงามและเป็นเอกลักษณ์
นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาเยือนศูนย์ศิลปาชีพบางไทรสามารถเลือกซื้อหาชิ้นงานศิลปหัตถกรรมซึ่งเป็นผลงานของเหล่าบรรดาช่างศิลปาชีพจากทั่วประเทศได้ในบริเวณ “ศาลาพระมิ่งขวัญ” ชั้นล่าง (เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ขนาดใหญ่ 4 ชั้น ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนครับ)
|
.....................................หุ่นกระบอกไทย.....................................
|
|
................................หนังตะลุง (Thai Shadow Play)................................
|
ภายหลังจากความสำเร็จในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางศิลปหัตถกรรมของไทย รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งซึ่งช่วยให้ลูกหลานของเหล่าบรรดาเกษตรกรยากไร้สามารถสร้างรายได้เสริมเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมให้แก่ครอบครัว ทางศูนย์ศิลปาชีพบางไทรก็ยังได้ประสานความร่วมมือกับทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชนจัดตั้ง “ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)” ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2546 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนางานผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยให้มุ่งสู่ความเป็นเลิศ ขยาดตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงช่วยให้สามารถจัดระบบบริหารงานในด้านต่างๆ ได้อย่างมีอิสระ คล่องตัว เอื้ออำนวยต่อการอนุรักษ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของไทยต่อไปในอนาคต.....สำหรับที่ตั้งของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) นี้จะอยู่ในเขตพื้นที่ต่อเนื่องกับศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ทางฝั่งทิศใต้
และที่ได้กล่าวแนะนำมาทั้งหมดดังข้างต้น ก็คือ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้ประกอบการทัวร์อยุธยามักจะพานักท่องเที่ยวไปเยือนอยู่เสมอๆ
|
..............................หนังใหญ่ ก็มีเหมือนกัน..............................
|
|
...........................ภาพจิตรกรรมที่รอการจำหน่าย..........................
|
ทัวร์อยุธยามุมใหม่ :ไปรถโค้ชปรับอากาศ กลับเรือสำราญ รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์
.....ในปัจจุบัน.....โปรแกรมทัวร์อยุธยาซึ่งถือว่ามีความโดดเด่น น่าสนใจ และมีความเป็นเอกลักษณ์จนทีมงานเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอมคิดว่าอยากจะขอกล่าวแนะนำถึงโปรแกรมทัวร์ดังกล่าวนี้เอาไว้สั้นๆ ก็คือ โปรแกรมทัวร์อยุธยาซึ่งจะนำนักท่องเที่ยวออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยัง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยรถโค้ชปรับอากาศและเดินทางกลับด้วยการล่องเรือสำราญจากท่าเรือบริเวณวัดช่องลม จ.นนทบุรี มาตามแม่น้ำเจ้าพระยากลับสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมๆ กับรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ไทยนานาชาติมื้อกลางวัน.....โดยในบทความช่วงต่อไปจะขอเรียกชื่อโปรแกรมทัวร์ดังกล่าวข้างต้นแบบย่นย่อว่า “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ”
|
...........................ร่องรอยจารึกแห่งประวัติศาสตร์...........................
|
|
................ซุ้มประตูโบราณซึ่งคงเหลือสภาพเพียงแค่เท่าที่เห็น................
|
ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ จะมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ “ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ (River City Bangkok Shopping Center)” ศูนย์การค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณซอยเจริญกรุง 24 (ตรอกโรงน้ำแข็ง) แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร.....ทั้งนี้.....หากนักท่องเที่ยวพักค้างคืนอยู่ในโรงแรมย่านถนนเจริญกรุง – ถนนเจริญนคร หรือโรงแรมในย่านสีลม – ถนนสุขุมวิทตอนต้น ก็สามารถติดต่อขอใช้บริการรถรับส่งจากโรงแรมในย่านดังกล่าวไปกลับศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ได้ (บริการรถรับส่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากราคาทัวร์ตามปกติและจะให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวซึ่งติดต่อจองทัวร์ล่วงหน้าพร้อมทั้งชำระค่าใช้จ่ายเอาไว้เรียบร้อยแล้วเท่านั้น ท่านสามารถติดต่อจองบริการ “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ” ได้จาก “LINE ID” หรือ “หมายเลขโทรศัพท์” ในกรอบสีขาวทางด้านล่าง “ตารางราคาโปรโมชั่นทัวร์อยุธยา” ท้ายบทความครับ)
|
..............................มุมเร้นลับเบื้องหลังกำแพงอิฐ..............................
|
|
....................เจดีย์สรรเพชญดาญาณ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์....................
|
.....โดยทั่วไป.....เวลานัดหมายที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาถึงศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้เพื่อ Check in เตรียมขึ้นรถโค้ชปรับอากาศและออกเดินทางไปยัง จ.พระนครศรีอยุธยา ก็คือเวลา 7.00 น. หลังจากนั้นรถโค้ชจะเริ่มออกเดินทางจากศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ในเวลาประมาณ 7.30 น. (หากนักท่องเที่ยวเดินทางมาเองและไม่สามารถ Check in ขึ้นรถโค้ชได้ทันเวลา รถก็จะไม่มีการรอและไม่สามารถขอรับค่าใช้จ่ายใดๆ คืนได้ แต่หากไม่ได้จองทัวร์มาล่วงหน้าก็จะไม่สามารถขึ้นรถโค้ชได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากจะไม่มีการเว้นที่ว่างสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จองทัวร์ล่วงหน้าเอาไว้ให้ครับ) และจะเดินทางมาถึง “พระราชวังบางปะอิน” อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในเวลาราว 9.00 น.โดยนักท่องเที่ยวจะได้ใช้เวลาเดินเยี่ยมชม ถ่ายภาพ และเรียนรู้ความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ประมาณ 1 ชม. แล้วรถโค้ชปรับอากาศก็จะนำนักท่องเที่ยวเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเขตพื้นที่มรดกโลก ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
|
.............................สถูปเจดีย์ทั้ง 3 องค์.............................
เป็นสถาปัตยกรรมโบราณยุคกรุงศรีอยุธยาอันเป็นเอกลักษณ์ของวัดพระศรีสรรเพชญ์
|
|
.......ความรุ่งโรจน์แห่ง กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา อาจจะลับเลือนหาย.......
แต่คุณค่าต่างๆ ก็ยังคงหลงเหลือประทับเอาไว้ให้พวกเราได้ศึกษาและจดจำ
|
เส้นทางการท่องเที่ยวภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาโดย “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ” นั้นจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 สาย ขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวจะเลือกล่องเรือสำราญของบริษัทใดกลับสู่กรุงเทพมหานคร โดยถ้าเป็นเส้นทาง “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ สายที่ 1” มัคคุเทศก์ก็จะพานักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมวัดมหาธาตุ, วัดพระศรีสรรเพชญ์ และวิหารพระมงคลบพิตร แต่หากเป็นเส้นทาง “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ สายที่ 2” มัคคุเทศก์ก็จะพานักท่องเที่ยวไปยังวัดมหาธาตุ, วัดหน้าพระเมรุ และวัดโลกยสุธาราม .....ทั้งนี้.....ไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ” สายไหนๆ นักท่องเที่ยวก็จะมีโอกาสได้ใช้เวลาไหว้พระ เดินชม และถ่ายภาพอยู่ภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาประมาณ 1 ½ - 2 ชั่วโมง ก่อนที่มัคคุเทศก์จะนำนักท่องเที่ยวกลับขึ้นรถโค้ชปรับอากาศ แล้วออกเดินทางต่อไปยังท่าเรือวัดช่องลม จ.นนทบุรี เพื่อรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ไทยนานาชาติมื้อกลางวันพร้อมๆ กับล่องเรือสำราญกลับสู่ท่าเรือริเวอร์ซิตี้ (River City Pier) ในเขตกรุงเทพมหานคร
|
.......นกกางเขนบ้านที่พบภายในบริเวณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา.......
|
|
............................ผีเสื้อหนอนกาฝากธรรมดา (Delias hyparete)............................
|
การเดินทางจากวัดช่องลม จ.นนทบุรี กลับสู่ท่าเรือริเวอร์ซิตี้ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครจะใช้เวลาประมาณ 2 ½ - 3 ชั่วโมง โดยในขณะที่เรือสำราญล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา นักท่องเที่ยวจะได้พบเห็นอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิเช่น เจดีย์มุเตา (เจดีย์เอียง) วัดปรมัยยิกาวาส เกาะเกร็ด, สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์, สะพานพระราม 7, สะพานกรุงธน, สะพานพระราม 8, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์ท่าพระจันทร์), พระบรมมหาราชวัง, วัดอรุณราชวราราม เป็นต้น
|
........ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาบางแห่งก็ก่อสร้างเลียนแบบป้อมค่ายสมัยโบราณ........
|
|
.....ทิวทัศน์ขณะรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันและล่องเรือสำราญกลับพระนคร.....
|
สำหรับรายการอาหารบุฟเฟ่ต์ไทยนานาชาติบนเรือสำราญที่ล่องให้บริการ “ทัวร์อยุธยา : ไปรถกลับเรือ” จะมีตัวอย่าง เช่น สตูซี่โครงหมู, ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง, ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์, เนื้อปลาทอดสามรส, ยำเนื้อปลาทูน่า, ยำหัวปลีใส่กุ้ง, ส้มตำไทย, ลาบไก่, ต้มยำกุ้ง, ทอดมันปลา, ปลาหมึกผัดพริกไทยดำ, เนื้อย่างซอสพริกไทย, ผัดไทยกุ้งสด, เกี๊ยวกรอบ, โคลด์ คัท (Cold Cuts), สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าไก่, ซุปหัวหอม, ผัดผักรวม, สลัดผัก, ผลไม้สดตามฤดูกาล, เค้กนานาชนิด, ฯลฯ .....อย่างไรก็ดี.....รายการอาหารตัวอย่างดังข้างต้นอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการตัดสินใจของทีมพ่อครัวโดยไม่จำเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และรายการอาหารอาจมีความแตกต่างกันไปได้ในเรือแต่ละลำ
|
ถ้าอยากเห็นภาพบรรยากาศแบบนี้.....ก็ขอแนะนำว่าให้ลองเลือกใช้บริการ
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน ดูสักครั้ง
|
|
........................................เรือข้ามฟาก........................................
|
.....สุดท้ายนี้.....ผู้เขียนและทีมงานเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอมทุกๆ คน ต้องขอกราบขอบพระคุณ คุณผู้อ่านทุกๆ ท่านที่ติดตามบทความของพวกเรามาจวบจนกระทั่งถึงบรรทัดนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งภาพถ่าย, ข้อมูล รวมถึงโปรโมชั่นของทัวร์อยุธยาซึ่งพวกเราได้รวบรวมมานำเสนอจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนท่องเที่ยวของคุณผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านได้ลองพิจารณาแล้วเห็นว่าทั้งภาพถ่าย, ข้อมูล รวมถึงโปรโมชั่นของทัวร์อยุธยาที่พวกเราได้นำเสนอไปพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง.....ก็อย่าลืมช่วยกันกดแชร์ต่อเพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ ต่อไปด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
|
.....สะพานพระพุทธยอดฟ้า หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์.....
|
|
สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ เป็นสะพานอีกแห่งหนึ่งซึ่งเรือสำราญตามโปรแกรม
ทัวร์อยุธยา + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา + รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน จะล่องผ่าน
|
ถ่ายภาพและเขียนบทความ โดย : ตฤณ ณ อัมพร
เรียบเรียง โดย : อรชร ลลิตผสาน
ข้อมูลอ้างอิง : การลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริงของทีมงานเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอม, ป้ายความรู้โดยรอบบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา, ผู้ประกอบการทัวร์อยุธยา, เว็บไซต์จังหวัดอยุธยา (Ayutthaya.go.th), เอกสารแผ่นพับพระราชวังบางปะอิน, วิกิพีเดีย, sites.google.com
สงวนลิขสิทธิ์โดย : เว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com)
โปรโมชั่นทัวร์อยุธยา + ล่องเรืออยุธยา + ไหว้พระอยุธยา ราคาถูก ! |
ทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยาไหว้พระอยุธยา |
ราคา (บาท) |
ผู้ใหญ่ |
เด็ก (4 - 10ปี) |
เส้นทางที่ 1 พระราชวังบางปะอิน-วัดมหาธาตุ-
วัดหน้าพระเมรุ-วัดโลกยสุธาราม
(งดรายการนี้ชั่วคราว จากสถานการณ์โควิด-19)
|
1,490
(walk in 2,200) |
1,100
(walk in 1,700) |
เส้นทางที่ 2 พระราชวังบางปะอิน-วัดมหาธาตุ-
วัดพระศรีสรรเพชญ์-วิหารมงคลบพิตร
(งดรายการนี้ชั่วคราว จากสถานการณ์โควิด-19)
|
1,550
(walk in 2,200) |
1,150
(walk in 1,700) |
เรือเหมาลำล่องรอบเกาะเมืองอยุธยา
(นั่ง 1-6 ท่าน/ลำ)
|
600 บาท/ลำ |
เรือเหมาลำล่องรอบเกาะเมืองอยุธยา
(นั่ง 7-8 ท่าน/ลำ)
|
700 บาท/ลำ |
หมายเหตุ :
-ทัวร์อยุธยา เส้นทางที่ 1 และ 2 ราคาเด็ก หมายถึง ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 4 - 10 ปี
-ราคาทัวร์ไม่รวมรถรับส่งจากโรงแรม/รีสอร์ท/ที่พักในกรุงเทพฯ
(กรุณา Check In ณ ท่าเรือริเวอร์ซิตี้ กรุงเทพมหานคร ก่อนเวลา 07.15 น.)
-ล่องเรือรอบเกาะเมืองอยุธยาใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
-กรณีต้องการแวะขึ้นฝั่งเพื่อเที่ยววัด คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มจุดละ 100 บาท (ใช้เวลา 20 - 30 นาที/จุด)
-เรือเหมาลำล่องรอบเกาะเมืองอยุธยา เริ่มบริการตั้งแต่ 08.30 - 18.00 น.
พิเศษ !! จองทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยาไหว้พระอยุธยา
ครบทุก 15 ท่าน แถมฟรี 1 ท่าน (เฉพาะราคาผู้ใหญ่ เส้นทางที่ 2)
|
โปรโมชั่นนี้จัดให้เฉพาะผู้ซึ่งติดต่อจองทัวร์อยุธยา
ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา
ตามหมายเลขโทรศัพท์หรือ LINE ID ทางด้านล่าง
และชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 – 7 วัน ตามเงื่อนไขเท่านั้น !
*นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อสอบถามโปรโมชั่นประจำเดือน (เฉพาะการจองล่วงหน้า)
ได้ทาง Line ID หรือ หมายเลขโทรศัพท์ ในกรอบทางด้านล่าง ตั้งแต่วันนี้ - 31 ต.ค. 2564*
|
รับทันที !! โปรโมชั่นทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยาไหว้พระอยุธยา
ราคาถูก/ราคาประหยัด/ราคาพิเศษ !!
เฉพาะผู้ซึ่งติดต่อสำรองบัตรและชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนล่วงหน้า
ผ่านเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com) ตามหมายเลขโทรศัพท์ :
(089) 137-8702 , (084) 145-0957 , (094) 251-9214 Fax. (02) - 981-4599
Line ID : thongteaw2 , thongteaw.com ,
www.thongteaw.com , trin.thongteaw.com , cimlee
กรุณาติดต่อสำรองบัตรล่วงหน้าอย่างน้อย 2 - 7 วัน ขอบคุณครับ/ค่ะ
หมายเลขโทรศัพท์ & Line ID ข้างต้น ใช้เพื่อการติดต่อสำรอง "ทัวร์อยุธยา
ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา" ล่วงหน้าเท่านั้น !!
กรณีไม่สะดวกสำรองและชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนล่วงหน้าตามเงื่อนไข
กรุณาติดต่อซื้อทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา
ในราคา Walk In
ตามปกติ (ไม่มีโปรโมชั่นส่วนลดใด ๆ) ครับ/ค่ะ
|
เงื่อนไขการสำรองทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยาไหว้พระอยุธยา ราคาพิเศษ :
1. บริการสำรองทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา ราคาถูก/ราคาประหยัด/ราคาพิเศษนี้จัดให้เฉพาะผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com) ซึ่งติดต่อสำรองล่วงหน้าตามเงื่อนไขด้านล่างต่อไปนี้และมีผลตั้งแต่วันนี้ - 31 ตุลาคม 2564 เท่านั้น
2. ต้องสำรองทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา ราคาถูก/ราคาประหยัด/ราคาพิเศษ ล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน ในช่วงวันทำการปกติ (และล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วัน ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง หรือช่วงเทศกาล)
3. โทรศัพท์ตรวจสอบที่ว่างสำหรับทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยาตามเบอร์ติดต่อ (089) 137-8702 , (084) 145-0957 , (094) 251-9214
4. กรณีมีที่ว่างสำหรับทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา ราคาถูก/ราคาประหยัด/ราคาพิเศษ กรุณาชำระค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนตามที่นั่งซึ่งได้สำรองไว้ (ชำระค่าใช้จ่ายตามราคาโปรโมชั่นในตาราง ไม่ใช่ตามราคาปกติในวงเล็บค่ะ) ภายใน 24 - 48 ชม.หลังจากติดต่อสำรองบัตร (และต้องชำระค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อยก่อนวันที่จะรับประทานอาหารล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน ในกรณีวันทำการปกติ หรือชำระค่าใช้จ่ายเพื่อสำรองบัตรให้เรียบร้อยก่อนวันที่จะรับประทานอาหารจริงล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วันในกรณีวันหยุดต่อเนื่องหรือวันหยุดช่วงเทศกาล) โดยโอนเงินเข้าบัญชีตามที่ระบุไว้ด้านล่างนี้เท่านั้น
บัญชีออมทรัพย์ ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาเมืองทองธานีซิตี้เซ็นเตอร์ 2
ชื่อบัญชี : Thongteaw.com (ท่องเที่ยวดอทคอม)
เลขที่บัญชี : 402-222838-7
|
5. ภายหลังจากชำระค่าใช้จ่ายเสร็จเรียบร้อย กรุณาโทรแจ้งการชำระค่าใช้จ่ายตามหมายเลขโทรศัพท์ในข้อ 3. เพื่อยืนยันการสำรองทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยาราคาถูก/ราคาประหยัด/ราคาพิเศษดังข้างต้น และเก็บสลิปการโอนค่าใช้จ่ายไว้เป็นหลักฐาน
6. ภายหลังจากยืนยันการชำระค่าใช้จ่าย (และตรวจสอบพบว่ามีการชำระค่าใช้จ่ายแล้วจริง) ท่านจะได้รับใบจองในระยะเวลาไม่เกิน 3 วัน (ปกติจะได้รับภายใน 24 - 48 ชม.) โดยสามารถนำใบจองดังกล่าวไปแสดง ณ จุด Check In ทัวร์อยุธยา ล่องเรือแม่น้ำอยุธยา ไหว้พระอยุธยา บริเวณท่าเรือริเวอร์ซิตี้ได้ในวันและเวลาที่ทำการสำรองไว้ ในกรณีที่ตรวจสอบไม่พบการชำระค่าใช้จ่าย เจ้าหน้าที่จะติดต่อแจ้งให้ท่านส่งสำเนาสลิปการโอนค่าใช้จ่ายมาตรวจสอบอีกครั้งตามหมายเลข Fax. (02) 981-4599 หรือ E-mail : [email protected] และจะมีการติดต่อจากเจ้าหน้าที่กลับไปแจ้งผลการตรวจสอบอีกครั้งภายใน 24 - 48 ชม.
7. เนื่องจากการสำรองบัตร ตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นการสำรองทัวร์อยุธยา ล่องเรืออยุธยา ไหว้พระอยุธยา ราคาถูก/ราคาประหยัด/ราคาพิเศษภายหลังจากที่ท่านได้ทำการชำระค่าใช้จ่ายแล้วจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือขอยกเลิกการสำรองได้ เว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอมขอสงวนสิทธิ์ในการงดคืนค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งท่านได้ชำระไว้แล้วในทุกกรณี (ยกเว้นกรณีตามข้อ 8.)
8. เว็บไซต์ท่องเที่ยวดอทคอม (www.thongteaw.com) ไม่มีความประสงค์หรือนโยบายใด ๆ ที่จะกระทำการเพื่อหลอกลวง ทุจริต หรือ ฉ้อโกงท่านในทุกกรณี หากทางเว็บไซต์ไม่สามารถสำรองบัตรราคาพิเศษตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นนี้ให้แก่ท่านได้ ทางเว็บไซต์ยินดีคืนค่าใช้จ่ายซึ่งท่านได้ชำระไว้แล้วเต็มจำนวนให้ โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น
**โปรโมชั่น "ทัวร์อยุธยา ล่องเรือทัวร์อยุธยา ไหว้พระอยุธยา" ราคาถูก ! ใช้ได้ตามเงื่อนไขตั้งแต่วันนี้ - 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เท่านั้น**
บัตรรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มื้อค่ำ + ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา
(กรุณาคลิ๊ก “ชื่อเรือ” เพื่อชมภาพถ่ายและข้อมูลของเรือบุฟเฟ่ต์แต่ละแบบโดยละเอียด)
|
ประเภทบัตร & โปรแกรมทัวร์ |
ราคา (บาท)
|
01. เรือไวท์ออร์คิด : White Orchid River Cruise |
790 - 2,200 |
02. เรือริเวอร์สตาร์ปริ๊นเซส : River Star Princess Cruise |
800 - 1,500 |
03. เรือเจ้าพระยาปริ๊นเซส : Chao Phraya Princess Cruise |
860 - 1,500 |
04. เรือเมอริเดียน : Meridian Cruise |
850 - 1,800 |
05. เรือเจ้าพระยาครุยส์ : Chaophraya Cruise |
950 - 1,700 |
06. เรือรอยัลปริ๊นเซส : Royal Princess Cruise |
990 - 1,900 |
07. เรืออลังกา : Alangka Cruise |
990 - 2,000 |
08. เรือเมอริเดียน อลังกา : Meridian Alangka Cruise |
990 - 2,000 |
09. เรือริเวอร์ไซด์ : Riverside Cruise |
990 - 2,000 |
10. เรือแกรนด์เพิร์ล : Grand Pearl Cruise |
1,150 - 2,200 |
11. เรือเดอะแบงค็อกริเวอร์ครุยส์ : The Bangkok River Cruise |
1,250 - 2,500 |
12. เรือวันเดอร์ฟูลเพิร์ล : Wonderful Pearl Cruise |
1,490 - 2,500 |
โปรโมชั่นทัวร์และบัตรเข้าชมสถานที่/การแสดงอื่นๆ ในเขต จ.กรุงเทพฯ ราคาพิเศษ !!
(กรุณาคลิ๊ก “ชื่อโปรแกรมทัวร์/ชื่อสถานที่ท่องเที่ยว” เพื่อชมภาพถ่ายและข้อมูลต่าง ๆ โดยละเอียด)
|
ประเภทบัตร & โปรแกรมทัวร์ |
ราคา (บาท)
|
01. สยามนิรมิต , กรุงเทพฯ |
1,200 - 2,850 |
02. ทัวร์ล่องคลองบางกอกน้อย |
590 - 1,500 |
03. ทัวร์อยุธยา : ล่องเรืออยุธยา |
1,490 - 2,200 |
03. ทัวร์อยุธยา เรือแกรนด์เพิร์ล |
1,550 - 2,200 |
04. ทัวร์อยุธยา เรือไวท์ออร์คิด |
1,550 - 2,200 |
05. Art in Paradise , Bangkok |
200 - 400 |
|